หลายโรงงานในไทยที่ใช้โฟล์คลิฟท์ไฟฟ้ายังพึ่งพาแบตเตอรี่ตะกั่วกรด (แบตน้ำ) ซึ่งมีต้นทุนแฝงสูง ทั้งค่า Maintenance, เวลา Downtime, และการเปลี่ยนแบตบ่อย ๆ
ในบทความนี้ เรามาดู กรณีศึกษาโรงงานไทย ที่ตัดสินใจเปลี่ยนจากแบตน้ำมาเป็น แบตเตอรี่ลิเธียมฟอสเฟต (LiFePO₄) ว่าเกิดการประหยัดจริงแค่ไหน
ต้องใช้ แบต 2–3 ลูกต่อรถโฟล์คลิฟท์ 1 คัน เพราะต้องสลับระหว่างกะ
เสียเวลาในการ ยกแบตเปลี่ยน วันละหลายรอบ
ต้องมี ห้องชาร์จเฉพาะ กินพื้นที่ในโรงงาน
อายุการใช้งานเฉลี่ยเพียง 2–3 ปี และต้องซ่อมบำรุงบ่อย
สมมติ Case Study โรงงานอาหารแช่แข็ง (รถโฟล์คลิฟท์ 10 คัน)
รายการ | ก่อนเปลี่ยน (แบตน้ำ) | หลังเปลี่ยน (ลิเธียม) | ผลต่าง |
---|---|---|---|
อายุการใช้งาน | 2.5 ปี | 8 ปี+ | +5.5 ปี |
จำนวนแบต/คัน | 2 ลูก | 1 ลูก | ลด 50% |
เวลาดูแล/ซ่อม | 4 ชม./คัน/เดือน | <1 ชม./คัน/เดือน | ลด 75% |
พื้นที่ห้องชาร์จ | 50 ตร.ม. | ไม่ต้องมี | +50 ตร.ม. คืนโรงงาน |
ค่าใช้จ่ายรวม 5 ปี | 6.0 ล้านบาท | 3.5 ล้านบาท | ประหยัด ~2.5 ล้านบาท |
ค่าแบตลิเธียมสูงกว่าในปีแรก แต่เมื่อคำนวณรวม 5 ปี โรงงานคืนทุนภายใน 1.5–2 ปี
หลังจากนั้นคือช่วง “กำไรจากการลดต้นทุน”
นอกจากนี้ยังเพิ่ม Productivity เพราะรถไม่ต้องจอดพักชาร์จนาน
ใช้งานได้ทั้ง Multi-shift โดยไม่ต้องเปลี่ยนแบต
Opportunity Charging ชาร์จช่วงพักกลางวันก็เพียงพอ
ความปลอดภัยสูงกว่า (ไม่มีไอกรด, ไม่ต้องเติมน้ำกลั่น)
ลด Carbon Footprint → ตอบโจทย์ ESG/CSR
จากกรณีศึกษานี้ การเปลี่ยนจากแบตน้ำมาเป็นแบตเตอรี่ลิเธียม ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยีใหม่ แต่คือ กลยุทธ์ลดต้นทุนระยะยาว สำหรับโรงงานไทย ทั้งด้านค่าใช้จ่าย การบำรุงรักษา และประสิทธิภาพการทำงาน
หน้าที่เข้าชม | 448,694 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 252,839 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 มิ.ย. 2561 |
ร้านค้าอัพเดท | 2 ก.ย. 2568 |